กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เผยมาตรการป้องกันโรคเมื่อโควิด 19 เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ 2558 แล้ว อธิบดีกรมควบคุมโรค ย้ำผู้ป่วยที่เสียชีวิตมากกว่าครึ่งไม่ได้รับวัคซีนและอายุเกิน 60 ปี เน้นย้ำลูกหลานนำผู้สูงอายุไปรับวัคซีนโดยเร็ว
วันนี้ (3 ตุลาคม 2565) นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์โรคโควิด 19 ที่กำหนดเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังในประเทศไทย มีแนวโน้มจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจากโควิดลดลง พบว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้เสียชีวิตยังไม่เคยได้รับวัคซีน ย้ำลูกหลานนำผู้สูงอายุรับวัคซีนป้องกันการเสียชีวิตและเพิ่มความปลอดภัยในครอบครัว
นายแพทย์ธเรศ กล่าวว่า นับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมเป็นต้นมา โรคโควิด 19 ได้เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ 2558 ซึ่งกำหนดให้มีการรายงานโรคเป็นรายสัปดาห์ ผ่านทางเว็บไซต์กรมควบคุมโรค โดยเริ่มรายงานวันที่ 3 ตุลาคม 2565 ซึ่งเป็นการรายงานตัวเลขผู้ป่วยและเสียชีวิตในสัปดาห์แรก ระหว่างวันที่ 25 กันยายน ถึง 1 ตุลาคม 2565 เป็นสัปดาห์ที่ 39 ของการเฝ้าระวังทางระบาดวิทยา จำนวนผู้ป่วยโควิดที่รักษาในโรงพยาบาล รวม 4,435 ราย (เฉลี่ยวันละ 634 ราย) จำนวนเสียชีวิตในสัปดาห์ที่ผ่านมา 65 ราย (เฉลี่ยวันละ 9 ราย) ในจำนวนนี้เป็นผู้สูงอายุ 54 ราย เท่ากับร้อยละ 83 และผู้เสียชีวิตช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เกินครึ่งเป็นผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน จำนวน 36 ราย (ร้อยละ 55) และมีอีก 15 รายยังไม่ได้รับเข็มกระตุ้น (ร้อยละ 23) ดังนั้น ผู้สูงอายุที่ไม่ได้รับวัคซีนตามเกณฑ์จะไม่ปลอดภัย อาจติดเชื้อเสียชีวิตได้ ย้ำเตือนให้ลูกหลานนำผู้สูงอายุในบ้านไปฉีดวัคซีนที่โรงพยาบาลของรัฐหรือ ศูนย์ฉีดวัคซีนในจังหวัด และหากเป็นผู้ป่วยติดบ้านหรือติดเตียง สามารถที่จะแจ้งให้ อสม.หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขไปฉีดวัคซีนให้ที่บ้าน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
นายแพทย์ธเรศ กล่าวต่อว่า ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา สังเกตพบว่า ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตปกติ แต่ส่วนใหญ่ยังคงสวมหน้ากากในสถานที่สาธารณะที่มีผู้คนแออัดจำนวนมาก ไม่มีรายงานการระบาดและ จำนวนผู้ป่วยไม่มีการเพิ่มขึ้นผิดปกติแต่อย่างไร ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขแนะนำแนวทางการป้องกันโควิดที่สมดุลกับวิถีชีวิตประชาชนในระยะที่เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง หากใครมีอาการติดเชื้อทางเดินหายใจต้องสวมหน้ากากอนามัยและตรวจ ATK ส่วนประชาชนทั่วไปแนะนำให้สวมหน้ากากเมื่อเข้าไปในสถานที่ผู้คนแออัด หรือพื้นที่ปิดอากาศไม่ถ่ายเท เช่น โรงพยาบาล สถานที่ดูแลผู้สูงอายุ/เด็กเล็ก เป็นต้น รวมถึงขนส่งสาธารณะที่มีผู้โดยสารหนาแน่น เช่น รถไฟฟ้า รถเมล์ ประชาชนทั่วไปที่ไม่มีอาการป่วยไม่ต้องตรวจ ATK แล้ว
สิ่งที่ต้องเน้นย้ำกับทุกคนคือ ในระยะที่ผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ยังมีมาตรการที่สำคัญ คือการฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเสี่ยงสูงคือผู้สูงอายุที่เหลืออีก 1.9 ล้านคน ซึ่งเป็นประชากรกลุ่มที่เสี่ยงสูงสุดในเวลานี้ เพราะว่าไม่เคยได้วัคซีนแม้แต่เข็มเดียวและมักมีสุขภาพที่ไม่แข็งแรง ดังนั้น ถ้าติดเชื้อมีโอกาสเสียชีวิตได้มากกว่ากลุ่มอื่น รวมทั้งต้องเร่งรัดฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้กับกลุ่มเสี่ยงต่างๆ ให้ครอบคลุมมากที่สุด โดยเน้นมาตรการทางสังคมที่สมดุลกับชีวิตวิถีใหม่ สวมหน้ากากอนามัยในสถานที่เสี่ยง ล้างมือ เว้นระยะห่าง และการจัดการสภาวะแวดล้อมที่เสี่ยงให้มีการระบายอากาศที่ดี และส่งเสริมมาตรการการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพ ย้ำตรวจ ATK เมื่อมีอาการป่วย และรักษาเร็วด้วยยาที่มีประสิทธิผล ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนมีความตระหนักในการป้องกันตนเองและผู้ใกล้ชิดในครอบครัวที่เป็นผู้สูงอายุอยู่ตลอดเวลา เพราะโควิดไม่ได้หายไปจากประเทศไทย และผู้สูงอายุยังไม่ปลอดภัยหากไม่ได้รับวัคซีนครบตามที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422 และ สามารถติดตามข้อมูลสถานการณ์ได้ที่เว็บไซต์กรมควบคุมโรค https://ddc.moph.go.th/covid19-dashboard/dashboard_week.html
****************
ข้อมูล : กองระบาดวิทยา/กองโรคติดต่อทั่วไป/สำนักสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ
วันที่ 3 ตุลาคม 2565
No comments:
Post a Comment