ในยุคที่ระบบสาธารณสุขกำลังเผชิญความท้าทายอย่างต่อเนื่อง ความพร้อมบุคลากรทางการแพทย์ถือเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องได้รับการแก้ไข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ก้าวข้ามขีดจำกัดทางการศึกษาด้วยการร่วมมือกันสร้างบุคลากรทางการแพทย์และวางรากฐานการพัฒนาระบบสาธารณสุขของประเทศ ซึ่งจะนำไปสู่การปฏิรูปการศึกษาเภสัชศาสตร์อย่างเป็นรูปธรรม
พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2568 ณ ห้องประชุม 402 ชั้น 4 อาคาร 80 ปี คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ เริ่มด้วย รศ.ภก.ดร.บดินทร์ ติวสุวรรณ รองคณบดีฝ่ายพันธกิจสากลและกิจการวิชาชีพ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวรายงานวัตถุประสงค์การดำเนินงาน รศ.ภก.ดร.วรสิทธิ์ วงศ์สุทธิเลิศ คณบดีคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ และ รศ.สมหวัง ขันตยานุวงศ์ รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนาวิทยาศาสตร์สุขภาพและเขตพื้นที่สุพรรณบุรี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวแสดงความพร้อมในการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการในครั้งนี้ จากนั้นเป็นพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการระหว่าง รศ.ภก.ดร.วรสิทธิ์ วงศ์สุทธิเลิศ คณบดีคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ และ รศ.สมหวัง ขันตยานุวงศ์ รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนาวิทยาศาสตร์สุขภาพและเขตพื้นที่สุพรรณบุรี โดยมีผู้บริหารทั้งสองสถาบันร่วมลงนามชสักขีพยาน
ความร่วมมือครั้งประวัติศาสตร์นี้เกิดจากการตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์ โดยได้รับการสนับสนุนจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2566 ด้วยงบประมาณกว่า 8,863 ล้านบาท เพื่อพัฒนาอุทยานการแพทย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จุดเด่นของโครงการนี้คือการมองภาพอนาคตของระบบสาธารณสุขไทยอย่างองค์รวม มุ่งเน้นการพัฒนาที่ยั่งยืน ตอบสนองความต้องการของสังคมเกษตรกรรมและสังคมผู้สูงอายุ พร้อมทั้งยกระดับประเทศสู่การเป็นศูนย์รวมทางการแพทย์ (Medical Hub) ที่สำคัญของภูมิภาค
ตลอดระยะเวลา 10 ปี (1 กันยายน 2568 - 31 สิงหาคม 2578) คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะทำหน้าที่เป็นสถาบันพี่เลี้ยงให้กับคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยมีขอบเขตความร่วมมือที่ครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนาหลักสูตร การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ การวิจัย และการสร้างนวัตกรรมทางเภสัชศาสตร์ เป้าหมายสำคัญคือการผลิตบัณฑิตทางเภสัชศาสตร์ที่มีคุณภาพ มีความคิดสร้างสรรค์ และสามารถประยุกต์ใช้ศาสตร์ต่าง ๆ เพื่อพัฒนาระบบสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของสังคมเกษตรกรรมและสังคมผู้สูงอายุ
ความร่วมมือในครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการร่วมสร้างบุคลากรทางการแพทย์ แต่ยังเป็นการวางรากฐานในการพัฒนาระบบสาธารณสุขของประเทศ สร้างนวัตกรรม และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในเวทีโลก ด้วยวิสัยทัศน์ ความมุ่งมั่น และความเชี่ยวชาญของทั้งสองสถาบัน คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ เชื่อมั่นว่าโครงการนี้จะนำพาประเทศไทยก้าวหน้าสู่อนาคตทางการแพทย์และสาธารณสุขอย่างมีประสิทธิภาพ
รศ.ภก.ดร.วรสิทธิ์ วงศ์สุทธิเลิศ คณบดีคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวถึงการลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ว่า เกิดจากการหารือระหว่างทั้งสองสถาบันที่มีเป้าหมายร่วมกันคือการผลิตเภสัชกรที่มีมาตรฐานวิชาชีพ พร้อมทั้งสร้างองค์ความรู้และงานวิจัยเพื่อพัฒนาสังคมและประเทศชาติ โดยคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ จะทำหน้าที่เป็นสถาบันพี่เลี้ยง ดูแลมาตรฐานหลักสูตรให้เป็นไปตามเกณฑ์ของสภาเภสัชกรรม และร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในการพัฒนาบัณฑิตและโครงการวิจัยในอนาคต ซึ่งการดำเนินงานความร่วมมือมีกรอบเวลา 10 ปี เพื่อให้การจัดการเรียนการสอนและการผลิตบัณฑิตเภสัชกรของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เป็นไปอย่างมั่นคง มีคุณภาพ และสร้างความเชื่อมั่นแก่สังคม นอกจากการผลิตบัณฑิตแล้ว ทั้งสองสถาบันยังมีแผนจัดทำโครงการเพื่อสนับสนุนสังคมและประเทศในหลายด้าน ซึ่งด้านการวิจัย ทั้งสองมหาวิทยาลัยให้ความสำคัญกับสมุนไพรไทย ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของประเทศ โดยจุฬาฯ มีพันธกิจผลักดันงานวิจัยและนวัตกรรมด้านสมุนไพรสู่ระดับโลก ขณะที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มีความเชี่ยวชาญด้านการเกษตรและพืชสมุนไพรอยู่แล้ว ความร่วมมือครั้งนี้จึงถือเป็นการผสานจุดแข็งที่จะสร้างนวัตกรรมและองค์ความรู้ใหม่ที่มีคุณค่า
“จุฬาฯ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มั่นใจว่าการลงนามครั้งนี้จะช่วยเสริมสร้างบุคลากรเภสัชกรและนักวิจัยคุณภาพให้กับประเทศ ตลอดจนยกระดับความมั่นคงทางสุขภาพ ระบบยา และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนและสังคมไทย” รศ.ภก.ดร.วรสิทธิ์ กล่าวในที่สุด
รศ.สมหวัง ขันตยานุวงศ์ รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนาวิทยาศาสตร์สุขภาพและเขตพื้นที่สุพรรณบุรี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวขอบคุณคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ ในการรับเป็นสถาบันพี่เลี้ยง เพื่อร่วมกันพัฒนาคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะของโครงการอุทยานการแพทย์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในการผลิตบุคลากรทางการแพทย์เข้าสู่สังคมไทย ปัจจุบันประเทศไทยยังขาดแคลนเภสัชกรจำนวนมาก จากข้อมูลของสภาเภสัชกรรมระบุว่ามีความต้องการเพิ่มกว่า 10,000 อัตรา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์จึงเล็งเห็นถึงความจำเป็นและความพร้อมที่จะจัดตั้งคณะเภสัชศาสตร์ขึ้น เพื่อร่วมแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ให้กับประเทศ ซึ่งโครงการอุทยานการแพทย์ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลต่อเนื่องจนถึงปี 2572 ทำให้สามารถวางแผนผลิตบุคลากรทางการแพทย์ โดยเฉพาะเภสัชกร เข้าสู่ระบบได้ภายใน 6 ปีข้างหน้า เพื่อรองรับความต้องการของสังคมไทย และส่งเสริมการพัฒนายาสมุนไพรไทย ทั้งในฐานะยารักษาและสารตั้งต้นสำคัญของอุตสาหกรรมยา
“มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มั่นใจว่าความร่วมมือครั้งนี้จะเป็นต้นแบบของความร่วมมือระหว่างสถาบันอุดมศึกษาไทย ในการสร้างนวัตกรรมและการพัฒนาที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม โดยเฉพาะด้านเภสัชศาสตร์และสมุนไพรไทยที่ทั้งสองมหาวิทยาลัยมีเป้าหมายร่วมกันในการผลักดันสู่การดูแลสุขภาพประชาชนอย่างยั่งยืน” รศ.สมหวัง กล่าวทิ้งท้าย
No comments:
Post a Comment