วัดใจพรรคการเมืองในสมรภูมิเลือกตั้ง กับเจตนารมณ์สร้างระบบ ‘บำนาญผู้สูงอายุ’ ที่ต้องไปไกลกว่า ‘นโยบายหาเสียง - Go Ahead News

Go Ahead News

ก้าวไปข้างหน้ากับเรา

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

Monday, March 27, 2023

วัดใจพรรคการเมืองในสมรภูมิเลือกตั้ง กับเจตนารมณ์สร้างระบบ ‘บำนาญผู้สูงอายุ’ ที่ต้องไปไกลกว่า ‘นโยบายหาเสียง

 









ทุกวันนี้ คนไทยอุ่นใจเรื่อง ‘ค่ารักษาพยาบาล’ ได้ เพราะประเทศไทยมีระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ซึ่งให้สิทธิ ‘รักษาฟรี’ โดยไม่เกี่ยงเศรษฐฐานะ สิทธิบัตรทองช่วยการันตีว่า แม้จะไม่มีเงิน แต่หากเจ็บป่วยขึ้นมา ก็จะเข้าถึงการรักษาได้


ในอนาคต หากเรามี ‘ระบบบำนาญผู้สูงอายุ’ ด้วย ก็จะยิ่งสร้างความมั่นคงในชีวิตเพิ่มมากขึ้น เพราะบำนาญผู้สูงอายุจะช่วยให้คนไทยมีหลักประกันว่า แม้แก่ชราโดยไม่มีอาชีพ-ไม่มีบุตรหลานเลี้ยงดู ก็ยังจะมี ‘รายได้’ สำหรับประทังชีวิต


ในช่วงการเลือกตั้งนี้ หลากหลายพรรคการเมืองพยายามประโคมนโยบายหาเสียง  หนึ่งในนั้นคือการสร้าง ‘ระบบบำนาญผู้สูงอายุ’ 


หากตัวเลขในขณะนี้ดูเหมือนจะมี ‘จุดร่วม’ ร่วมกันที่เดือนละ 3,000 บาท ส่วนรูปแบบการจ่าย       ยังมีความแตกต่างในรายละเอียดกันออกไป


เวทีเสวนาวิชาการหัวข้อ “ระบบบำนาญแห่งชาติเพื่อความเป็นธรรมและยั่งยืน สู่นโยบายพรรคการเมืองด้านระบบความคุ้มครองทางสังคมในผู้สูงอายุ” ซึ่งจัดโดย ศูนย์วิจัยความเหลื่อมล้ำและนโยบายสังคม (CRISP) คณะเศรษฐศาสตร์และศูนย์วิจัยความเหลื่อมล้ำและนโยบายสังคม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) เมื่อวันที่ 23 มี.ค. ที่ผ่านมา มีข้อเสนอในเรื่องนี้ที่น่าสนใจ


--- สร้าง ‘ความคุ้มครองทางสังคม’ แก่คนสูงวัย ---

ผศ.ดร.ศุภชัย ศรีสุชาติ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มธ. บอกว่า การพัฒนาระบบบำนาญแห่งชาติเป็น ‘ความคุ้มครองทางสังคม’ ประเภทหนึ่งตามหลักวิชาเศรษฐศาสตร์สาธารณะ ซึ่งความคุ้มครองทางสังคม คือระบบหรือมาตรการคุ้มครองขั้นพื้นฐาน เพื่อช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเคราะห์ร้าย ช่วยคุ้มครองไม่ให้กลายเป็นคนยากจน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ซึ่งในอนาคตไทยต้องเผชิญความเสี่ยงวิกฤตความยากจนในผู้สูงอายุ

นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ที่ระบุว่า ปัจจุบันเรามีข้อเสนอทางวิชาการเกี่ยวกับการสร้างหลักประกันรายได้ให้กับผู้สูงวัยแล้ว หนึ่งในนั้นมาจากมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 15 พ.ศ. 2565  เรื่อง “หลักประกันรายได้เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ” โดยจำเป็นต้องขับเคลื่อนพร้อมกันทั้ง 5 องค์ประกอบหลัก (5 เสาหลัก) ซึ่งมีความสัมพันธ์และเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ 

ประกอบด้วย 1. การพัฒนาผลิตภาพประชากร การมีงานทำและมีรายได้จากการทำงานที่เหมาะสมตลอดช่วงวัย  2. การออมระยะยาวเพื่อยามชราภาพที่เชื่อมโยงทั้งการออมของปัจเจกบุคคล และการออมรวมหมู่ที่ครอบคลุม เพียงพอ และยั่งยืน  3. เงินอุดหนุน (บำนาญ) และบริการสังคมที่จำเป็นจากรัฐ (บำนาญ) 

4. การเข้าถึงหลักประกันสุขภาพโดยเฉพาะบริการสุขภาพระยะยาว (Long-term care)                และ 5. การดูแลจากครอบครัว ชุมชน และท้องถิ่น โดยสามารถถอดบทเรียนความสำเร็จของการขับเคลื่อนระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ที่เน้นความพร้อมทางวิชาการ การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในสังคม และการตัดสินใจทางการเมือง มาเป็นฐานในการผลักดันนโยบายไปสู่รูปธรรมความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจริง


--- ‘อภิสิทธิ์’ เสนอขึ้น VAT เต็มเพดาน 10% ---

นอกจากนี้ ในเวทีเสวนาวิชาการยังมีมุมมอง-ข้อเสนอที่น่าสนใจจากฝ่ายการเมือง เริ่มจากอดีตนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ระบุว่า ทุกวันนี้ทั้งสังคมหรือพรรคการเมืองต่างเห็นร่วมกันแล้วว่า เราต้องการระบบสวัสดิการ ซึ่งหมายความว่าต้องมีกฎหมายรองรับเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนจะได้รับบำนาญตามเกณฑ์ที่กำหนด 


“ต้องไม่ใช่เป็นเพียงนโยบายทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงได้ตามแต่ละยุคสมัยของรัฐบาล แต่ต้องทำให้เกิดเป็นระบบที่ยั่งยืน” นายอภิสิทธิ์ ระบุและย้ำว่า หลักการคือการสร้างสวัสดิการ ไม่ใช่การสงเคราะห์ และหากกำหนดเป็นหลักการแล้ว รัฐบาลจะต้องมีเงินมารองรับ ไม่เช่นนั้น เมื่อเริ่มจ่ายแล้วระบบก็จะล้มได้ 


นายอภิสิทธิ์ ยังได้แสดงความเห็นด้วยกับข้อเสนอของคณะผู้วิจัย คณะเศรษฐศาสตร์ มธ. คือมีระบบความคุ้มครองขั้นพื้นฐานรองรับทุกคน ระบบวัยแรงงานสมทบเงินออม และระดับที่สาม คือการสะสมเงินออมสำหรับคนที่มีเงินมากตามความสมัครใจ


“สิ่งที่ภาคการเมืองต้องตอบสังคมให้ได้คือ จะนำเงินมาจากไหน เพราะประเทศไทยเก็บภาษีได้เหลือเพียง 13% ของ GDP” อดีตนายกรัฐมนตรี ตั้งคำถาม 

อดีตนายกรัฐมนตรีรายนี้ ยังเห็นด้วยกับข้อเสนอด้านแหล่งเงินของคณะผู้วิจัย อาทิ การขยายฐานภาษี ภาษีฐานทรัพย์สินและการลดนโยบายที่เอื้อให้กับคนรวย (Pro-rich) ซึ่งจะกลายเป็นกลไกสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในสังคมลงได้ 


พร้อมกันนี้ ยังมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นการยกเลิกการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล เพราะการลดภาษีไม่ได้ช่วยทำให้เกิดการลงทุนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะภาคธุรกิจธนาคาร โทรคมนาคม พลังงาน และ อสังหาริมทรัพย์ 4 สาขา ที่จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลเกือบ 50% ของทั้งหมด


“การลดภาษีก็คือเป็นการแจกเงินให้ผู้ถือหุ้นกับพนักงานในสาขาเหล่านั้น ประเด็นเหล่านี้ต้องนำมาเป็นส่วนประกอบของสมการทั้งหมด” นายอภิสิทธิ์ กล่าว


นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อไปว่า หากวิเคราะห์ตัวเลขแล้วพบว่าขณะนี้ยังขาดเงินอีก 4-5 แสนล้าน ในการจัดทำระบบบำนาญผู้สูงอายุ ซึ่งการหารายได้เข้ารัฐนั้นมักมีการพูดถึงการเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เพราะเป็นทางเลือกที่ง่ายที่สุด แต่ VAT ก็เป็นภาษีที่เพิ่มความเหลื่อมล้ำ ทำให้เศรษฐกิจถดถอยและเติมเงินเฟ้อด้วย 


ทั้งนี้ หากจะทำเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม ควรต้องดำเนินการแบบ Earmarked คือ ระบุวัตถุประสงค์ของการเก็บและใช้ภาษีส่วนนั้นเพื่อสวัสดิการจึงจะเป็นที่ยอมรับของสังคมได้ เนื่องจากปัจจุบันประชาชนไม่อยากจ่ายภาษีเพิ่ม เพราะไม่พอใจการใช้จ่ายภาษีของรัฐ แต่ถ้าประชาชนมีความชัดเจนว่า 1 บาทที่จ่าย จะเข้าไปเติมเงินในบัญชีเงินออมของเขา อันนี้มีความเป็นไปได้


“ความจริงเพดานอัตรา VAT ของเราคือ 10% แต่เมื่อ 21 ปีที่แล้ว เราลดชั่วคราวเหลือ 7% และยังเป็นอัตราชั่วคราวมาจนถึงปัจจุบัน เพราะฉะนั้น ผมว่ามันมีเหตุผลมากที่จะเพิ่มกลับไปที่ 10% โดย 3% นั้นถูก 

earmarked ให้เป็นเงินออมของทุก ๆ คน สัดส่วนเพียง 3% ก็ได้มาประมาณกว่า 2 แสนล้านบาท”           นายอภิสิทธิ์ เสนอ

“ถ้าเก็บ VAT ต่ำกว่านั้น ก็อาจกำหนดให้คนที่ได้เกินจากบำนาญประกันสังคมยังไม่ต้องรับบำนาญก่อน คือให้เฉพาะคนที่ไม่มี หรือคนที่อยู่นอกระบบ เช่น เกษตรกร และผู้สูงอายุที่ไม่มีหลักประกัน ตรงนี้ก็จะอยู่ในวิสัยที่สามารถทำได้

“จากนั้นก็ออกกฎหมายกำหนดว่าเบี้ยยังชีพที่เหมาะสมมีความคุ้มครองขั้นต่ำเท่าใด เช่น อ้างอิงจากเส้นความยากจน เงินส่วนหนึ่งมาจาก earmarked ที่มาจากการบังคับออม แล้วเติมอีกส่วนจากการปรับระบบภาษีและการจัดระบบงบประมาณให้เหมาะสม” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

อดีตนายกรัฐมนตรี ย้ำว่า ความเร่งด่วนในวันนี้ไม่ใช่เรื่องสังคมยังไม่ตื่นตัว แต่ต้องมุ่งไปที่ 2 ประเด็นในการขับเคลื่อน ได้แก่ 1. เมื่อเป็นผู้สูงอายุแล้วจะมีสิทธิขั้นพื้นฐานที่รัฐบาลชุดใดก็เบี้ยวไม่ได้ เช่น อ้างว่าไม่มีเงินไม่ได้ จึงขอให้ทุกพรรคการเมืองเข้าสู่สนามเลือกตั้งโดยให้แสดงความชัดเจนว่า เป็นสวัสดิการจริง ๆ ไม่ใช่ระบบสงเคราะห์  2. พรรคการเมืองต้องตอบคำถามว่า จะหาแหล่งรายได้มาจากไหน เพราะถ้าไม่พยายามบังคับให้พรรคการเมืองชี้แจง ทุกอย่างจะกลับไปข้อ 1 คือ เลือกตั้งเสร็จ ก็พยายามทำที่ได้หาเสียงไว้            แต่สามารถให้เท่าที่ให้ได้ โดยไม่ได้พยายามสร้างระบบที่ยั่งยืน


--- ‘เดชรัต’ เสนอพัฒนาแบบเป็นขั้นตอน พร้อมเสนอแหล่งรายได้ให้ชัดเจน ---

สอดคล้องกับ ดร.เดชรัต สุขกำเนิด ผู้อำนวยการ Think Forward Center พรรคก้าวไกล ที่เห็นด้วยกับการกำหนดเรื่องบำนาญผู้สูงอายุเป็นกฎหมาย เพราะไม่อยากให้เรื่องนี้กลายเป็นแค่ประเด็นหาเสียง ส่วนตัวเห็นว่าตัวเลข 3,000 บาท เป็นตัวเลขที่สังคมยอมรับและสอดคล้องกับที่ภาคประชาชนเสนอ นอกจากนี้ควรจะมีกองทุนดูแลผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง 200 บาท/คน/เดือน เพื่อดูแลผู้ป่วยติดเตียงด้วย เพราะความยากจนในผู้สูงอายุมาจาก 1. หนี้สินจากอาชีพ 2. การป่วยติดบ้านติดเตียง




สำหรับอาจารย์เดชรัต การสร้างบำนาญผู้สูงอายุ หากกำหนดตัวเลขไว้ที่ 3,000 บาท จำต้องใช้งบประมาณราว 4.2 แสนล้าน ซึ่งหากจ่ายในอัตรา 3,000 บาทจริง จะช่วยให้ผู้สูงอายุที่อยู่ในเส้นความยากจนจากเดิม 6% จะสามารถลดลงเหลือ 1% แต่ถ้าอัตรา 2,000 บาท จะเหลืออยู่ที่ 2%

อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องใช้เวลาในการพัฒนาศักยภาพในการหารายได้ ดังนั้นจึงต้องขึ้นเป็นขั้นบันได เช่น จาก 600 บาท/เดือน เป็น 1,500 บาท/เดือนในปีแรก แล้วจึงเพิ่มขึ้นจนไปถึงเป้าหมาย 3,000 บาท/เดือน ภายในปี 2570

ในส่วนของการหารายได้รัฐ ดร.เดชรัต กล่าวว่า รายได้ที่จะนำมาสร้างระบบบำนาญนั้นต้องใช้ช่องทางในการปรับภาษี ดังนี้คือ 1. ขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับผู้ประกอบการรายใหญ่ ส่วนรายย่อยต้องลดลง       ซึ่งจะนำมาสู่รายได้ราว 9 หมื่นล้านบาท  2. ปรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และการลดหย่อนภาษี 3. ปรับภาษีที่ดินแบบรวมแปลงและรายแปลง ในส่วนนี้จะได้เงินประมาณ 1.5 แสนล้านบาท และ  4. ปรับภาษีความมั่งคั่งเป็น 0.5% หรือ โดยจะให้ได้เงินราว 6 หมื่นล้านบาท  5. ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เช่น ลดงบกองทัพ ซึ่งจะลดได้ประมาณ 2 แสนล้านบาท


--- ก้าวต่อไปในมุมมองนักเศรษฐศาสตร์ มธ.  ---

ศ.ดร.เอื้อมพร พิชัยสนิธ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บอกว่า ประเด็นการสร้างระบบบำนาญผู้สูงอายุนั้นภาควิชาการได้เสนอมานานแล้ว จึงจำเป็นต้องให้ภาคการเมืองทำให้เกิดขึ้นจริงในทางปฏิบัติ

สำหรับประเด็นที่อยากจะชวนคิด ได้แก่ 1. ความเป็นธรรมในมุมมองของประชาชนที่แท้จริง ไม่ใช่ของนักวิชาการหรือนักการเมือง จึงต้องสร้างการตระหนักรู้และการมีส่วนร่วมถึงทางเลือกสวัสดิการต่าง ๆ  ทำให้ประชาชนทราบว่า มีฝั่งที่ได้แล้ว ก็มีฝั่งที่ต้องจ่าย  จึงตกผลึกทางความคิดว่า เราต้องการโมเดลแบบไหน

“ไม่ใช่เฉพาะเรื่องอัตราควรจะเป็นเท่าไหร่ แต่เรามองภาพใหญ่ว่า เราจะมีจุดร่วมอย่างไร ต้องการสวัสดิการแบบไหนในองค์รวม เพื่อเป็นสัญญาณให้ฝ่ายการเมืองทราบความต้องการของประชาชน ตัวอย่างเช่น ยุโรปเหนือ สะท้อนฉันทามติผ่านทางการเมือง แต่ถ้าเป็นประเทศที่เน้นระบบตลาด ก็สะท้อนผ่านกระบวนการทางการเมืองในการเลือกตั้ง” ศ.ดร.เอื้อมพร กล่าว



ศ.ดร.เอื้อมพร กล่าวอีกว่า สำหรับประเทศไทย ขณะนี้ยังมีหลากหลายความคิด คุยประเด็นย่อย       แต่ยังไม่มีประชามติที่ชัดเจนเกี่ยวกับทิศทาง จึงจำเป็นจะต้องมาเป็นชุด package ว่า จะเอาภาษีมาจากไหน ดังนั้นในระยะยาว จะต้องกระตุ้นการตระหนักรู้ของสังคมเพื่อให้เกิดการตกผลึกทางความคิด

“ในยุคข่าวสารข้อมูล พรรคการเมืองต้องจริงใจ เสนอข้อเท็จจริงและข้อจำกัดของข้อเสนอนโยบาย จึงจะเกิดขึ้นมาอย่างเป็นธรรมที่แท้จริง ในมุมมองของประชาชน” นักเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ กล่าว

2. ความยั่งยืนจำเป็นต้องครอบคลุมการเกิดผลในระยะสั้นและระยะยาว เพราะในมุมนักวิชาการ    เน้นระยะยาว และ optimal ส่วนในมุมนักการเมือง เน้นที่ quick win ระยะสั้น เพราะข้อจำกัดเรื่องเวลา ดังนั้น นักการเมืองควรต้องยอม trade-off มามองระยะยาวด้วย เพื่อรุ่นลูกหลานและตัวท่านเองในระยะยาว

ศ.ดร.เอื้อมพร ย้ำว่า กรณีระบบบำนาญแห่งชาติ ต้องคำนึงเรื่อง transition เช่น นโยบายการออมในระยะยาว แต่ระยะสั้นก็ต้องมีผลเกิดขึ้นเป็นรูปธรรม เช่น การขยายฐานกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และ ควรมีพื้นที่เพิ่มเติมการอุดหนุนให้ผู้สูงอายุ หากจะให้เกิดความยั่งยืนของนโยบายในระยะยาว จะต้องครอบคลุมผลทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยความร่วมมือของทุกภาคส่วน

ที่สุดแล้ว ในการเสวนาครั้งนี้ ผู้ร่วมเสวนายังเห็นพ้องในหลักการร่วมกันว่า สิ่งที่จำเป็นหรือนับเป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จในการขับเคลื่อนนโยบายบำนาญแห่งชาติ คือการทำให้เจตนารมณ์ทางสังคมสามารถเกิดขึ้นเป็นจริงด้วยนโยบายจากพรรคการเมือง


ศูนย์วิจัยความเหลื่อมล้ำและนโยบายสังคม คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 

Center for Research on Inequality and Social Policy - CRISP.



No comments:

Post a Comment

Post Bottom Ad