หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ จับมือ สมาคมนักลงทุนประเทศไทย จัดสัมมนาสุดเข้มข้นจับหุ้นจีนปะทะหุ้นสหรัฐ วัดกันแบบหมัดต่อหมัด เจาะลึกโอกาสทำกำไรจากสองขั้วตลาดโลก - Go Ahead News

Go Ahead News

ก้าวไปข้างหน้ากับเรา

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

Tuesday, October 21, 2025

หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ จับมือ สมาคมนักลงทุนประเทศไทย จัดสัมมนาสุดเข้มข้นจับหุ้นจีนปะทะหุ้นสหรัฐ วัดกันแบบหมัดต่อหมัด เจาะลึกโอกาสทำกำไรจากสองขั้วตลาดโลก

บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ สมาคมนักลงทุนประเทศไทย จัดสัมมนาสุดเอ็กซ์คลูซีฟสำหรับลูกค้าเมย์แบงก์และผู้สนใจ ร่วมวิเคราะห์โอกาสการลงทุนบนเวทีโลก พร้อมเปิดมุมมองเชิงกลยุทธ์แบบ “หมัดต่อหมัด” เทียบความน่าสนใจของหุ้นสหรัฐและหุ้นจีน บนสมรภูมิการแข่งขันระหว่างสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างจีนและสหรัฐ ภายในงาน พบกับ 2 ผู้เชี่ยวชาญชั้นนำ “เซียนมี่” ทิวา ชินธาดาพงศ์ นายกสมาคมนักลงทุนประเทศไทย เจ้าของพอร์ตการลงทุนมูลค่าหลักพันล้านบาท และ ธนัชชา เชษฐโชติศักดิ์ นักวิเคราะห์หุ้นต่างประเทศจากเมย์แบงก์ ที่จะมาแบ่งปันมุมมองเชิงลึกในแต่ละธุรกิจศักยภาพ เพื่อช่วยให้นักลงทุนมองเห็นโอกาสและสร้างความมั่นใจ ในโลกของการลงทุนที่เต็มไปด้วยไม่แน่นอน







ตลาดหุ้นสหรัฐ – จีนวันนี้ เหมือนอินทรีที่แข็งแรงกับมังกรที่โตไว

 

ทั้งสองผู้เชี่ยวชาญเริ่มต้นด้วยการฉายภาพรวมให้เห็นถึงโอกาสของการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ และจีน สำหรับในฝั่งสหรัฐฯ ถือว่าเป็นจังหวะดีของการลงทุน เพราะได้แรงหนุนจากหลายปัจจัย หนึ่งในนั้นคือโอกาสจากหุ้นคุณค่า (Value Stocks) ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งอย่างแท้จริง นอกเหนือจากกลุ่ม Magnificent 7 (Apple, Amazon, Alphabet, Microsoft, Meta, Nvidia, Tesla) ยังมีกลุ่มรองที่น่าสนใจ ได้แก่ เซมิคอนดักเตอร์, ดาต้าเซ็นเตอร์, ไบโอเทคโนโลยี, กลุ่มซอฟต์แวร์ และ ความมั่นคงทางไซเบอร์ (Cybersecurity) ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มีทิศทางนโยบายการเงินเริ่มผ่อนคลาย และมีแนวโน้มว่าจะลดอัตราดอกเบี้ย ทำให้ต้นทุนการกู้ยืมถูกลง ส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มเติบโต (Growth stocks) รวมถึงหุ้นกลุ่ม Healthcare ที่มีภาระดอกเบี้ยจากการกู้ยืมเพื่อวิจัยและพัฒนายาใหม่ ๆ ดังนั้น เมื่อดอกเบี้ยลดลง บริษัทเหล่านี้ย่อมมีโอกาสเพิ่มกำไรได้มากขึ้น นอกจากนี้ หากค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ถือเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุน โดยเฉพาะผ่าน DR ซึ่งนักลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนได้ทั้งจากราคาหุ้นต่างประเทศและอัตราแลกเปลี่ยน


ในฝั่งตลาดหุ้นจีน ก็มีโอกาสมากมายที่ซ่อนอยู่เช่นกัน จะเห็นว่าตลาดหุ้นจีนในปัจจุบันยังมีระดับราคาที่ถูกกว่าตลาดหุ้นสหรัฐ ขณะที่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเต็มที่จากรัฐบาลจีน ที่มุ่งผลักดันให้การเติบโตทางเศรษฐกิจขยายตัวจากเมืองระดับ Tier 1 ไปสู่เมือง Tier 2 และ Tier 3 ส่งผลให้ประชากรในเมืองรองเริ่มมีรายได้และกำลังซื้อเพิ่มขึ้น เสริมศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของจีนให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้จีนยังมีบริษัทชั้นนำที่มีศักยภาพสูง สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น H World หนึ่งในกลุ่มโรงแรมรายใหญ่ที่สุดของประเทศจีน, Xiaomi บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของจีน ที่โดดเด่นด้านนวัตกรรมและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในราคาที่เข้าถึงได้, และ CATL ผู้นำระดับโลกด้านแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า และยังเป็นเสาหลักของอุตสาหกรรมพลังงานใหม่ของจีน 

อีกหนึ่งแต้มต่อของตลาดจีนวันนี้ คือ มีกำลังซื้อสำคัญจากในประเทศ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ที่หันมาภาคภูมิใจในความเป็นจีนและนิยมใช้สินค้าจีนมากขึ้น รวมถึงแนวคิด Value For Money ของลูกค้าที่ให้คุณค่ากับคุ้มค่าเป็นอันดับหนึ่ง ทำให้สินค้าของจีนในปัจจุบัน เช่น Popmart หรือ Xiaomi มีคุณภาพโดดเด่น ในราคาที่เข้าถึงได้ เมื่อเทียบกับผู้เล่นในตลาด


“ผมมองว่าตลาดสหรัฐวันนี้ เหมือน "แม่หมาที่แข็งแรง" แต่อาจจะเติบโตไม่มาก ส่วนจีนเปรียบเหมือน "ลูกหมา" ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม แม้หุ้นจีนยังมี P/E และ Valuation ที่ต่ำ แต่ยังต้องจับตานโยบายรัฐบาลที่ให้การสนับสนุนเพียงบางธุรกิจ และมีการควบคุมบางธุรกิจที่เกี่ยวกับสวัสดิการและคนหมู่มาก”


แม้ภาพรวมของการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯและจีน จะมีแรงหนุนสำคัญ แต่เพื่อเจาะลึกโอกาสการลงทุนให้นักลงทุนทั้งสองผู้เชี่ยวชาญที่เป็นตัวแทนจากตลาดสหรัฐและจีน ยังมีการนำหุ้นจากฝั่งสหรัฐและจีนที่น่าสนใจ มาเทียบกันแบบหมัดต่อหมัด เพื่อเป็นทางเลือกในการจัดพอร์ตการลงทุน ที่เหมาะกับการลงทุนในระยะสั้น กลาง และยาว


NVIDIA VS Xiaomi ตอบโจทย์สายชอบลงทุนระยะสั้น (3 เดือน ถึง 1 ปี) เริ่มจากฝั่งสหรัฐ แนะนำ NVIDIA บริษัทเทคโนโลยีเจ้าของชิป AI รายใหญ่ ก่อตั้งในปี 1993 โดยมีจุดเริ่มต้นจากการพัฒนาชิปประมวลผลกราฟิก (GPU) ) สำหรับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล โดยเฉพาะในวงการเกมมิ่ง ก่อนจะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้นำด้านเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก มีส่วนแบ่งตลาดสำคัญในด้านการสร้างปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Data Center ปัจจุบันครองส่วนแบ่งการตลาดถึง 92% ในตลาดการ์ดจอ GPU มีลูกค้าขนาดใหญ่ทั้งเอกชนและรัฐบาลสหรัฐ อีกทั้ง ยังได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลสหรัฐฯ ให้ส่งออกชิป AI ไปยังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) หลังจากที่ UAE ได้เสนอแผนการที่เป็นรูปธรรมในการลงทุนในสหรัฐฯ ด้วยมูลค่าที่ทัดเทียมกัน นอกจากนี้ NVIDIA ยังมีความได้เปรียบจากความสามารถในการกระจายการเติบโตจากหลากหลายอุตสาหกรรม และสร้างการเติบโตต่อเนื่องผ่านการเข้าซื้อกิจการและสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ

 


มาที่ฝั่งจีน แนะนำ XIAOMI ก่อตั้งในปี 2010 ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน โดยเน้นการสร้างระบบนิเวศเทคโนโลยีที่สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างสะดวกสบาย มีจุดแข็ง คือ ต้นทุนการผลิตต่ำ ทำให้สามารถตั้งราคาเชิงรุกและแข่งขันกับแบรนด์ใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมีการขยายธุรกิจสู่ตลาดโลก ทั้งในจีน อินเดีย ยุโรป และภูมิภาคอื่นๆ  

 


“จีนอาจจะไม่ได้เก่งในการคิดค้นจาก 0 ไป 1 แต่เชี่ยวชาญในการต่อยอดเทคโนโลยีจาก 1 ไป 100 หรือ 1000 Xiaomi คือ หนึ่งในตัวอย่างที่ดีของการเป็นผู้เล่นสำคัญในการสร้างระบบนิเวศ IoT ที่แข็งแกร่ง เชื่อมต่ออุปกรณ์ทุกอย่างในบ้าน จนต่อยอดจากผู้ผลิตมือถือ แกดเจ็ตต่างๆ ไปสู่ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในจีน อีกทั้งยังสามารถบริหารต้นทุน (cost) และ อัตรากำไร (margin) ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากๆ จนคาดว่า ในอนาคตสัดส่วนรายได้ของรถไฟฟ้าจะเติบโตมหาศาล”


CrowdStrike Holdings VS Tencent ตอบโจทย์นักลงทุนที่เน้นลงทุน 1-3 ปี

 

 

เริ่มจากฝั่งสหรัฐ แนะนำ CrowdStrike Holdings ผู้นำระดับโลกในตลาดความปลอดภัยไซเบอร์ ก่อตั้งในปี 2011 ให้บริการโซลูชันความปลอดภัยทางไซเบอร์แบบ Cloud-Based ปกป้องอุปกรณ์ปลายทาง (endpoint) จัดการ workload บนคลาวด์และข้อมูลต่างๆ ปกป้องตัวตนของผู้ใช้งาน อีกทั้งยังสามารถนำเทคโนโลยี AI มาเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการลูกค้า ใช้โมเดลธุรกิจแบบ SaaS (Software as a Service) มีรายได้หลักมาจากค่าสมาชิก 


“นอกจากโอกาสของธุรกิจที่น่าจะเติบโตไปกับเทรนด์ดิจิทัลที่ความปลอดภัยบนโลกไซเบอร์เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้จากเหตุการณ์ระบบอัปเดตของ CrowdStrike ที่ส่งผลกระทบต่อระบบ Windows ทั่วโลกในปี 2024 ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลงแรงในระยะสั้น แต่หลังจากบริษัทเร่งปรับปรุงกระบวนการอัปเดต และเปิดทางให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกเวลาในการอัปเดตได้ ราคาหุ้นของ CrowdStrike ก็ฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีต่อบริษัทในระยะยาวอีกด้วย” 

  

 

มาถึงคู่ท้าชิงฝั่งจีน แนะนำ Tencent บริษัทโฮลดิ้งที่ดำเนินธุรกิจหลักในจีน ก่อตั้งปี 1998 ให้บริการครอบคลุมหลายด้าน เป็นผู้นำตลาดเกมทั้งในจีนและระดับโลก มีการลงทุนในเทคโนโลยี AI, Cloud Computing และ Big Data เพื่อปรับใช้ในทุกธุรกิจ เชื่อมต่อบริการต่าง ๆ ผ่านแพลตฟอร์ม WeChat และ QQ ผสานระบบการชำระเงิน เกม และโฆษณาไว้ในระบบเดียว อีกทั้งยังมีธุรกิจครอบคลุมหลายด้าน (เกม, social media, Fintech, โฆษณา, Cloud) มีรายได้หลายช่องทาง ลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาธุรกิจเดียว 

 


“หุ้นที่เหมาะกับการลงทุนสัก 1-3 ปี ผมมองว่าต้องเป็นหุ้นที่มีความแข็งแกร่งและมีสภาพการแข่งขันที่จบแล้ว สำหรับ Tencent  ด้วย Ecosystem ที่แข็งแกร่งครอบคลุมชีวิตคนจีนกว่าพันล้านคน ตั้งแต่การสื่อสาร การซื้อของ การเล่นเกม ไปจนถึงการลงทุน ยังไม่รวมศักยภาพของเทคโนโลยีที่ Tencent กำลังพัฒนา โดยเฉพาะเรื่อง AI ที่เชื่อว่าในอนาคต Tencent ซึ่งปัจจุบันยังมีการจำกัดโฆษณาใน WeChat ให้แสดงเพียงไม่กี่ครั้งต่อวัน ซึ่งแตกต่างจากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียจากตะวันตก แต่หากในอนาคตสามารถนำ AI มาใช้เลือกโฆษณาให้แม่นยำขึ้น รายได้ส่วนโฆษณาสามารถโตได้อีก 10 เท่า ขณะที่อุตสาหกรรมเกมแห่งอนาคต AI จะเข้ามาเปลี่ยนสมรภูมิเกมที่เชื่อว่าในอนาคตจะมีผู้เล่นมากขึ้น ให้ยิ่งสนุกและท้าทายขึ้นอย่างแน่นอน”


Eli Lilly VS Contemporary Amperex Technology สองหุ้นจากสองขั้วธุรกิจ ซื้อเก็บในพอร์ตยาวๆ 3 ปีขึ้นไป

 


เริ่มจากฝั่งสหรัฐ แนะนำ Eli Lilly and Company บริษัทเวชภัณฑ์ชั้นนำจากสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งขึ้นในปี 1876 เชี่ยวชาญในการค้นคว้า พัฒนา ผลิต และทำการตลาดผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพที่เป็นนวัตกรรมใหม่ มีสินค้าจำหน่ายในกว่า 125 ประเทศทั่วโลก จุดเด่นของ Eli Lilly คือ มีความเชี่ยวชาญด้านยาเฉพาะทาง เช่น เบาหวาน ภาวะอ้วน มะเร็ง และภูมิคุ้มกันบกพร่อง อีกทั้งยังมีการพัฒนายาเฉพาะทางและการรักษาแบบเฉพาะเจาะจง (Precision Medicine) รวมถึงมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในงานวิจัยและพัฒนา (R&D)  

 


“ปัจจุบัน ตลาดเบาหวานทั่วโลกมีมูลค่าสูงถึง 320,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 680,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2028 ซึ่งถือเป็นโอกาสของ Eli Lilly and Company ที่นอกจากปัจจุบันจะมียาเบาหวานแบบฉีดเป็นยาเรือธง ยังกำลังพัฒนายา Orforglipron ซึ่งเป็นยาเบาหวานแบบรับประทาน อยู่ระหว่างรอการอนุมัติจาก FDA ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้มหาศาลให้กับบริษัท นอกจากนี้ Eli Lilly and Company ยังมีการลงทุนกว่า 50,000 ล้านดอลลาร์สร้างโรงงาน 5 แห่งในสหรัฐ ซึ่งคาดว่าจะสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง จากนโยบายภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ที่จะเก็บภาษียาที่ไม่ได้ผลิตในสหรัฐฯ”  

 

 

ขณะที่ฝั่งจีน แนะนำ Contemporary Amperex Technology Co. Limited (CATL) ผู้นำตลาดแบตเตอรี่ EV ทั่วโลก ครองอันดับ 1 ของโลกด้วย Market Share ประมาณ 37.9% ก่อตั้งในปี 2011 ดำเนินธุรกิจวิจัย พัฒนา ผลิต และจำหน่ายแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) อีกทั้งยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาแบตเตอรี่สำหรับพาหนะไฟฟ้าหลากหลายประเภท ขยายธุรกิจสู่ตลาดใหม่ เช่น Energy Storage System (ESS) และ Battery-Swap ซึ่งเป็นหัวใจของห่วงโซ่อุตสาหกรรม EV ระดับโลก

 


ด้วยจุดแข็งของ CATL ที่ถูกวางรากฐานและเตรียมความพร้อมทั้งเรื่องคนและเทคโนโลยีมาหลายปี ทำให้เป็นธุรกิจที่มีความได้เปรียบ และคู่แข่งยากจะตามทันในระยะยาว เพราะมีการควบคุมต้นทางการผลิต (เหมืองลิเธียม/โคบอลต์) และมีสิทธิบัตรจำนวนมาก ซึ่งช่วยให้สามารถบริหารต้นทุนได้ดีกว่าคู่แข่งอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ในด้านตลาดพลังงานสีเขียว CATL ยังเป็นผู้นำในตลาด Energy Storage System (ESS) หรือแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน ซึ่งจำเป็นต่อระบบพลังงานหมุนเวียน และคาดว่าตลาดนี้จะกลายเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักของอนาคต และยังจะได้รับอานิสงส์จากตลาดใหม่ ๆ เช่น Humanoid Robots ที่ต้องการแบตเตอรี่ที่อยู่ได้นานตลอดวัน จากปัจจุบันที่ต้องเปลี่ยนทุก 1-2 ชั่วโมง

 

 

ทั้งหมดนี้ คือ ตัวอย่าง 6 หุ้นน่าสนใจจากฝั่งสหรัฐและจีน ที่สองผู้เชี่ยวชาญนำมาขึ้นสังเวียน วัดกันแบบหมัดต่อหมัด อย่างไรก็ตาม ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน โดยปัจจุบันนักลงทุนสามารถลงทุนหุ้นต่างประเทศได้หลากหลายช่องทาง อาทิ การลงทุนหุ้นต่างประเทศโดยตรง (Offshore) การลงทุนผ่านกองทุนรวมต่างๆ และ การลงทุน DR หรือ Depositary Receipt เป็นการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (เช่น หุ้นหรือ ETF) ผ่านตลาดหลักทรัพย์ไทยโดยตรง 

 


ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนมือใหม่ที่ต้องการเปิดรับโอกาสจากหุ้นต่างประเทศ หรือเป็นนักลงทุนที่มองหากลยุทธ์กระจายความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ เมย์แบงก์พร้อมเป็นเพื่อนคู่คิดในการแนะนำการลงทุน วางแผนบริหารเงินอย่างมั่นคงด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญ ที่พร้อมอัพเดตข่าวสารและแบ่งปันมุมมองการวิเคราะห์ที่เจาะลึก มีช่องทางการลงทุนที่สะดวกผ่านแอป Maybank Invest (MBI) เพื่อพาทุกคนไปสู่เป้าหมายทางการเงินที่ตั้งใจ

###

No comments:

Post a Comment

Post Bottom Ad